ขนฟู หูตั้ง หางพวง ไทยบางแก้ว (Thai Bangkaew)

ความน่ารักของสุนัขบางแก้ว

 

@ อนุวัฒน์จัดให้ "สุนัขบางแก้ว"

 

มาตรฐานสายพันธุ์สุนัขบางแก้ว

ชมรมผู้อนุรักษ์และพัฒนาสุนัขไทยพันธุ์บางแก้ว จ.พิษณุโลก เป็นหน่วยงานแรก ๆ ที่ได้ประชุม ตกลงร่างมาตรฐานหมาบางแก้วขึ้นมา (ในปี พ.ศ. 2534ป และได้ถือเป็นแบบอย่างมาเท่าทุกวันนี้
หมาบางแก้วจะเดินหรือวิ่งเหยาะ ๆ ท่วงท่าสวยงาม ปกติจะวิ่งซอยเท้าถี่ ๆ สง่างาม บางตัวเวลาเดินเห็นแผงขนบนสันหลังยกขึ้นดูสง่างามเฉกเช่นม้าย่างเท้าสวนสนาม ขึ้นชื่อมากเรื่องความดุ มีความซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ รักและหวงเจ้าของ ไม่ชอบคนแปลกหน้า มีความสามารถในการดมกลิ่นเป็นเลิศ จำเสียงได้ แม่นยำ กินอาหารง่าย มีความกล้าหาญ กล้าที่จะสู้กับสุนัขที่ตัวโตกว่า มีประสาทตื่นอยู่เสมอแม้นอนหลับ เป็นสุนัขที่ชอบเล่นน้ำ เมื่อหมอบข้อศอกจะแนบกันพื้นและเท้าหลังจะแบออกทั้งสองข้าง ก่อนจะกินน้ำในอ่าง ชอบเอาเท้าหน้าข้างหนึ่งข้างใดจุ่มลงไปในอ่างก่อน เวลาขู่จะเหยียดขาหน้าพุ่มไปข้างหน้า แล้วผงกหัวและแผงขนหลังตั้งขึ้นพร้อมกับส่งเสียงขู่
ชอบกินเนื้อสัตว์และปลา เนื่องจากหมู่บ้านบางแก้ว อาชีพหลักของชาวบ้านแถบนั้นคือจับปลา ค้าปลาน้ำจืด และเลี้ยงสุนัขไว้บนแพ อาหารที่ได้จึงหลีกไม่พ้นปลา แต่อาหารอื่นก็กินได้เช่นกัน
หัวกะโหลก
กะโหลกใหญ่ ปากยาวแหลม คอยาวกว่าหมาไทยทั่วไป กะโหลกศีรษะและปากรับกันเป็นรูปสามเหลี่ยม หูเล็กสั้นตั้งป้องไปข้างหน้า ปลายหูเบนออกข้างเล็กน้อย โคนหูทั้งสองอยู่ห่างกันมากกว่าหมาไทยหลังอาน จึงใช้เป็นจุดเด่นในการสังเกตว่าเป็นหมาบางแก้ว ตาเล็กกลมรี พื้นสีตาเป็นสีเหลืองทองคล้ำ ม่านตาตรงกลางสีดำ มีแววของความไม่เชื่อใจใครง่าย ๆ ขณะโกรธหรือขู่จะขึ้นแววฟ้าใส แววที่เรียกว่า "ตาเขียว" จมูกสีดำ ฟันซี่เล็กขาวคม มีเขี้ยวข้าบน 2 ล่าง 2 ลิ้นเป็นสีชมพู ส่วนมากไม่มีปากดำเหมือนหมาไทยหลังอาน
หู
มี 2 ลักษณะ คือ ถ้าหากใบหูใหญ่ปลายหูกลมมน ภายในหูมีขนปกคลุมปิดรูหูเป็นลักษณะของหูสุนัขจิ้งจอก แต่ถ้าหูเล็กสั้นมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ตั้งป้องตรงไปข้างหน้า ปลายหูเบนออกไปทางด้านข้างเล็กน้อย จะเป็นลักษณะของหูหมาไน ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก หูของหมาบางแก้วส่วนมากที่ขอบใบหูจะมีลักษณะเป็นสันเล็ก ๆ มีขนอ่อนปกคลุมอยู่ภายในหู และที่กกหูด้านนอกจะมีขนปุยนุ่มปกคลุมมากบ้างน้อยบ้าง
ตา
มีลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยมคล้ายตาเสือ ที่ทำเป็นเซื่องซึม แต่เมื่อเจอะเจอคนแปลกหน้าจะมีแววดุวาวและเขียวปั๊ด
ปาก
ปากแหลมเรียวกว่าสุนัขไทยทั่ว ๆ ถ้าหากมองจากหน้าหน้าจะสังเกตเห็นว่าหัวกะโหลกลงมายังปากจะแคบสอบลงไปเรื่อย ๆ คล้ายกับสามเหลี่ยม ถ้าหากสีของลำตัวด่างแดงสนิมกับขาวหรือดำขาวบริเวณปากจะมีสีขาวผ่านตลอดใต้คางที่ปลายปาก ซึ่งคล้ายคลึงกับลักษณะของสุนัขจิ้งจอกและหมาไน ซึ่งคนไทยโบราณเรียกว่า ปากคาบแก้ว ถ้าเป็นสีปลอดมักจะไม่มี ฟันแข็งแรง เขี้ยวเล็ก แหลมคม
คอ
ใหญ่ หนา และแข็งแรงมาก เมื่อโตเป็นหมาหนุ่มสาวจะต้องใช้โซ่และปลอกคอที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรง เพราะเวลากระโดดหรือกระชากจะได้ไม่ขาดง่าย
หาง
โคนหางใหญ่ โค้งงอไปข้างหน้า ถ้าปลายคางจรดกลางหลังไม่ไพล่ไปข้างใดข้างหนึ่งของลำตัวจะสวยงามมาก ขนที่หางจะยาวตั้งเป็นพุ่มกระจายเป็นพวงโค้งไปข้างหน้า ปลายหางจรดหลัง หางที่ขอดเป็น วงกลมหรือหางที่มีลักษณะอื่นๆ มิได้หมายความว่าไม่ถูกต้องตามลักษณะของหมาบางแก้ว ทั้งนี้เนื่องจากลักษณะของหางที่โค้งงอไปบนหลังนั้นเป็นลักษณะเด่นทางพันธุกรรมของหมาไทย ส่วนหางที่มีลักษณะเป็นพุ่มพวงนั้นเป็นลักษณะเด่นทางพันธุกรรมของหมาไนและหมาจิ้งจอก ด้วยเหตุผลดังกล่าวหมาพันธุ์ บางแก้วส่วนมากจังมีหางโค้งเป็นครึ่งวงกลมหรือวงกลม แต่เป็นพวงสวยงาม
ซึ่งพอสรุปลักษณะเด่นของหากได้ 3 แบบ คือ
1. หางตั้งโค้งไปข้างหน้า บางตัวหางจะเหยียดตรงวางทาบไปบนหลัง
2. หางพุ่งไปด้านหลังแล้วโค้งตั้งขึ้นเหมือนหางดาบ ถ้าหางยาวจะโค้งมาจรดหลัง ถ้ายาวมากจะเบี่ยงลงข้าง ถ้าหางเป็นพวงใหญ่มีน้ำหนักมาก หางจะไพล่ห้อยลงข้างตัว ซึ่งส่วนใหญ่หมาบางแก้วจะมีหางลักษณะนี้
3. หางเป็นพวงลาดแบบแทงดิน ยาวห้อยลงอย่างหางม้า เวลาดีใจ เมื่อเดินทางหรือวิ่งจะ แกว่งหางไปมา เวลายืนหากมั่นใจว่าปลอดภัยจะยกหางสูงขึ้นเลยระดับตัวเล็กน้อย เรียกว่าหางจิ้งจอก
ขน
เนื่องจากหมาบางแก้วเป็นลูกผสมที่มี 3 สายเลือด คือ หมาใน หมาจิ้งจอก และหมาไทยพื้นบ้าน ลักษณะสีขนจึงมีสีดังต่อไปนี้คือ สีน้ำตาลแก่สีขาวปลอด สีดำปลอด สีด่างขาวน้ำตาล สีด่างขาว-ดำ และ สีนาค ซึ่งปัจจุบันนี้คงจะสูญพันธุ์ไปแล้ว หมาบางแก้วยังมีลักษณะเด่นอยู่อย่างหนึ่งคือจะมีจุดแต้มตามลำตัว และที่ขา ถ้าสุนัขสีดำ-ขาว จุดแต้มก็จะมีสีน้ำตาลแดง
ขนตามลำตัว
มีลักษณะเป็นขนสองชั้น ชั้นแรกเป็นขนตามลำตัว เป็นขนที่สั้นและอ่อนนุ่มและหนากว่าขนชั้นที่ 2 ขนชั้นที่ 2 เป็นขนเส้นยาว ๆ เริ่มต้นจากท้ายทอย ผ่านต้นคอแผ่กระจายลงไปถึงหนอกหลัง กลางหลัง และโคนหาง บริเวณนี้มีลักษณะคล้ายอานม้า ขนที่บริเวณอกค่อนข้างหนาคล้ายแผงคอ ขนที่สีข้างค่อนข้างยาว สำหรับลูกสุนัขที่มีอายุประมาณ 1-2 เดือน มักจะมีขนหนาปุกปุยและเส้นละเอียดอ่อนนุ่มมือ
ขาหลัง
จะขนานกัน เอนลาดไปข้างหลังเล็กน้อย บริเวณแก้วก้นหรือต้นขาส่วนใหญ่จะมีขนยาวปุกปุยคล้ายปุยนุ่นปกคลุมบริเวณแก้มก้นและแถบใต้โคนหาง เวลาเคลื่อนไหวจะรับกับหางที่ปัดไปปัดมา
ขา
ขาหน้าเหยียดตรงขนานกัน แต่ค่อนข้างใหญ่กว่าขาหลัง และใหญ่กว่าหมาไทยทั่วๆ ไป บริเวณโคนขาส่วนที่ติดกับลำตัวจะมีขนเส้นยาว ๆ ซึ่งชาวบ้านนิยมเรียกว่า "ขาสิงห์"
นิ้ว
ชิดติดกันที่นิ้วของหมาที่อายุน้อยจะมีขนยาวปกคลุมคล้ายนิ้วเท้าของสุนัขจิ้งจอก ซึ่งต่างกับหมาไทยทั่ว ๆ ไปที่อายุยังน้อย ๆ อยู่นั้น ขนที่นิ้วเท้าจะไม่ยาว จะเริ่มยาวเมื่อมีอายุมากขึ้น เวลาเดินมักจะโหย่งเท้า
ท้อง
ลักษณะท้องจะไม่คอดกิ่วเหมือนหมาไทยทั่วๆ ไป ลำตัวค่อนข้างจะกลมและหนากว่าหมาไทย แต่อกไม่ลึกเท่ากับหมาไทยทั่ว ๆ ไป
หลัง
ค่อนข้างจะแบน
ขนาด
ตัวผู้สูงประมาณ 45-53 เซนติเมตร (19-21 นิ้ว) ตัวเมียสูงประมาณ 43-48 เซนติเมตร (17-19 นิ้ว) ตัวผู้หนักประมาณ 14-16 กิโลกรัม ตัวเมียหนักประมาณ 13-15 กิโลกรัม
สี
มีหลายสี เช่น สีด่างขาว-ดำ, สีขาว-น้ำตาล, สีขาว-เทา
ลักษณะทั่วไป
เป็นสุนัขขนาดกลาง รูปทรงตั้งแต่ช่วงขาหน้าถึงขาหลังเป็นสามเหลี่ยมจัตุรัส อกกว้างและลึกได้ระดับกับข้อศอก ไหล่กว้าง ท้องไม่คอดกิ่ว ปากแหลม หูเล็ก หางพวง ขนมี 2 ชั้น รักเจ้าของ ฉลาด ปราดเปรียว กล้าหาญ ค่อนข้างดุ สามารถฝึกใช้งานได้ ชอบเล่นน้ำมาก และเกลือกโคนตม
ข้อบกพร่อง
ใบหูพลิ้ว ไม่มีขนแผลรอบคอ ขาหน้าเล็ก ไม่มีแข้งสิงห์ ไม่มีขนคลุมนิ้ว เท้า หูใหญ่ หางขอด ขนหลุดร่วง ฟังบนยื่นกว่าฟันล่างหรือฟันล่างยื่นกว่าฟันบน ปากใหญ่ ตาใหญ่ หูไม่ตั้ง หางไม่เป็นพวง ขนสั้น อัณฑะเม็ดเดียว ฟันหัก 3 ซี่ขึ้นไป โดยไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุ หางขาด ปากหู่ ตากลม เส้นหลังแอ่น